วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ศิลปกรรมการแสดง


             เมื่อพูดถึง “วัฒนธรรมไทย” คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึง “ศิลปะการแสดงของไทย” เช่น โขน ละคร ลิเกหรือการฟ้อนรำต่างๆทันที ทั้งนี้ เพราะการแสดงดังกล่าวมีรูปธรรมที่เห็นเด่นชัด สัมผัสได้  อย่างไรก็ดี การแสดงแต่ละอย่างจะต่างกันอย่างไร เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่ทราบ  ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์  สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรมจึงขอนำสาระบางส่วนจากหนังสือ “ศิลปะการแสดงของไทย และจากเรื่อง“นาฏศิลป์ไทย” ในหนังสือ “เทอดทัดหัตถา” สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถฯ ของสวช.มาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นความรู้  ดังนี้

มูลเหตุแห่งการเกิดศิลปะการแสดงของไทย สันนิษฐานว่ามาจาก ๒ สาเหตุ คือ 
๑.เกิดจากพื้นฐานอารมณ์สะเทือนใจของมนุษย์  เช่น ดีใจก็กระโดดโลดเต้น  เสียใจก็ร้องไห้คร่ำครวญ ต่อมาจึงได้พัฒนาอารมณ์ต่างๆเหล่านี้ให้เป็นพื้นฐานการแสดงในที่สุด
๒.เกิดจากความเชื่อทางศาสนา  เช่น เชื่อว่าสรรพสิ่งรอบตัวในธรรมชาติมีอำนาจเร้นลับแฝงอยู่ สามารถดลบันดาลให้
เกิดเหตุการณ์ต่างๆได้  และต่อมาได้พัฒนาเป็นความเชื่อในเทพเจ้า  จึงมีการสวดอ้อนวอนขอธรรมชาติหรือเทพเจ้าให้ 
ประทานความสำเร็จให้ด้วยการถวายอาหาร  หรือการร่ายรำเพื่อบวงสรวงบูชา และได้กลายมาเป็นต้นแบบของการสวดอ้อนวอน  การขับร้องดนตรี  และการฟ้อนรำในเวลาต่อมา

             อนึ่ง  รูปแบบศิลปะการแสดงของไทย นั้นได้มีพัฒนาการมาโดยลำดับทั้งในแนวของ”ศิลปะพื้นบ้าน”หรือการแสดงพื้นบ้าน เช่น รำ ระบำและละครบางประเภท  กับอีกแนวหนึ่งคือ ศิลปะการแสดงที่อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของกษัตริย์หรือพระบรมวงศ์ที่เรียกกันว่า “ศิลปะในราชสำนัก” หรือการแสดงในราชสำนัก อันเป็นที่มาของรูปแบบนาฏศิลป์ประเภทโขน รำ ระบำ และละครที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน 

สำหรับรูปแบบและความหมายของการแสดงแต่ละประเภท  มีดังนี้ 
          รำและระบำ  คำว่า “รำ”โดยทั่วไปจะหมายถึง การแสดงที่ประกอบด้วยผู้แสดงคนเดียว เรียกว่า รำเดี่ยว หรือถ้าเป็นผู้แสดงสองคน เรียก รำคู่  แต่มีรำบางชนิดที่มีผู้แสดงมากกว่า ๒ คน แต่ยังเรียกว่า รำ เช่น รำสีนวล รำแม่บท ฯลฯ (ที่ยังเรียกว่ารำ มิใช่ระบำ ก็เพราะว่าเป็นการตัดทอนมาจากละคร และเคยเป็นการรำเดี่ยวมาก่อน แม้จะรำเป็นหมู่ภายหลังก็ยังเรียกอย่างเดิม ) จุดประสงค์ของการ “รำ”คือ เพื่อแสดงความงดงาม การเคลื่อนไหวของผู้แสดงที่สอดประสานกับเพลงดนตรี แต่ไม่มุ่งเน้นในเนื้อเรื่องการแสดง   ตัวอย่างเช่น รำดอกไม้เงินทอง  รำฉุยฉาย รำกริช  เป็นต้น
              ส่วนคำว่า “ระบำ” ในปัจจุบัน หมายถึง การแสดงที่ประกอบด้วยผู้แสดงมากกว่า ๒ คนขึ้นไป มีจุดประสงค์เพื่อแสดงความงดงาม ความพร้อมเพรียง การแปรแถวในขณะแสดง  ประกอบกับการแต่งกาย และเพลงดนตรีที่ไพเราะ เช่น ระบำนพรัตน์  ระบำฉิ่ง ระบำศรีวิชัย เป็นต้น

อย่างไรก็ดี การแสดงรำและระบำ อาจเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงในเรื่อง แต่ด้วยความงดงามดังกล่าว จึงมีการตัดทอนมาใช้เป็นชุดการแสดงที่เป็นเอกเทศก็ได้  การแต่งกายของการรำ หรือระบำ แต่เดิมแต่งยืนเครื่องพระนาง (ยืนเครื่อง หมายถึง การแต่งกายเลียนแบบเครื่องต้นเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์)  ส่วนปัจจุบันระบำแบบใหม่ๆได้มีการแต่งกายตามสภาพหรือแต่งกายตามรูปแบบการแสดงละครประเภทนั้นๆ 

        ละคร หมายถึง การแสดงที่เป็นเรื่องราวติดต่อกัน ใช้เวลาตั้งแต่ ๒-๔ ชม.   ปัจจุบันนิยมกำหนดให้เหลือเพียง ๑-๒ ชม.เป็นอย่างมาก  และยังอาจตัดทอนให้สั้นลง  โดยเลือกแสดงในฉากใดฉากหนึ่งในระยะเวลา ๓๐-๔๕ นาทีก็ได้ 
ศิลปะการแสดงของไทย ที่ยังได้รับความนิยมในปัจจุบันคือ ละครรำ  ซึ่งมีอยู่หลายประเภท ได้แก่

           ละครโนรา  เป็นศิลปะการแสดงของภาคใต้  เดิมนิยมใช้ผู้ชายล้วนแสดง  แต่ปัจจุบันมีผู้หญิงเข้าไปแสดงด้วยแล้ว นิยมแสดงเรื่อง นางมโนราห์  เป็นศิลปะการแสดงที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่ชาวไทยภาคใต้ 

          ละครชาตรี  เป็นศิลปะการแสดงที่พัฒนามาจากละครโนรา  และละครนอก เป็นที่นิยมอย่างยิ่งในระดับชาวบ้าน ต่อมากรมศิลปากรได้นำละครชาตรีเรื่องพระสุธนกับนางมโนราห์มาปรับปรุงรูปแบบเป็นละครชาตรีเข้าเครื่องหรือละครชาตรีเครื่องใหญ่ จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะฉากมโนราห์บูชายัญ  และพรานบุณจับนางมโนราห์ (คำว่า “ชาตรี”เป็นคำที่คน ภาคกลางเรียกการแสดง “โนรา” ที่ดัดแปลงมา บางครั้งก็เรียกควบว่า “โนราชาตรี” แต่เพิ่มเรื่องที่แสดงมากขึ้นไม่เฉพาะแต่เรื่องมโนราห์เท่านั้น และผู้แสดงส่วนใหญ่เป็นชาย ส่วนคำว่า “เข้าเครื่อง” หรือ เครื่องใหญ่หมายถึงการเพิ่มเครื่องดนตรีเข้าไปจากเดิมอันเป็นวิวัฒนาการอีกขั้นหนึ่ง)

        ละครนอก  เป็นศิลปะการแสดงที่เชื่อว่าได้รับอิทธิพลจากละครโนรา  เป็นละครที่มุ่งเน้นการดำเนินเรื่องที่สนุกสนาน รวดเร็ว  ตลกขบขัน กล่าวได้ว่าเป็นละครชาวบ้านอย่างแท้จริง  เดิมใช้ผู้ชายล้วนแสดง  ปัจจุบันก็มีผู้หญิงแสดงด้วย 

           ละครใน  เป็นศิลปะการแสดงประเภทละครรำที่งดงามที่สุด โดยเฉพาะรูปแบบของละครหลวง ซึ่งมีความประณีตทั้งท่ารำ  บทร้อง การแต่งกาย และเพลงดนตรี  ใช้ผู้หญิงแสดงล้วน  แต่เดิมแสดงเพียง ๓ เรื่องเท่านั้น คือ   เรื่องอิเหนา อุณรุท และรามเกียรติ์ ต่อมาได้เพิ่มเรื่อง ศกุนตลา บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ เข้าไปด้วย  คำว่า ละครใน มาจากคำว่าละครนางใน คือ ใช้ผู้แสดงที่เป็นผู้หญิงในราชสำนักนั่นเอง 

           ละครดึกดำบรรพ์ เป็นละครรำอีกประเภทหนึ่ง  ซึ่งปรับปรุงขึ้นในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕  เป็นการแสดงที่ผู้แสดงต้องร้องเอง รำเอง และเจรจาเอง เป็นละครที่เริ่มมีฉากตามสถานที่ในท้องเรื่อง การแต่งกายเป็นไปตามแบบละครใน  ที่เรียกว่า ละครดึกดำบรรพ์เนื่องจาก คำนี้เป็นชื่อโรงละคร ซึ่งสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงร่วมกับเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ปรับปรุงการแสดงละครขึ้นใหม่และนำออกแสดงในงานต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองครั้งแรก ต่อมาแสดงแบบนี้ครั้งใดก็เรียกตามชื่อโรงละครว่าละครดึกดำบรรพ์ 

          ละครพันทาง  เป็นประเภทละครรำในแนวละครนอก คือ มีการร่ายรำที่งดงาม เพลงดนตรีและเครื่องแต่งกายมีการปรับเปลี่ยนไปตามเชื้อชาติตัวละคร  การดำเนินเรื่องรวดเร็ว สนุกสนาน เป็นละครที่กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ทรงปรับปรุงขึ้นจากการแสดงละครของพระยามหินทรศักดิ์ธำรง และนิยมนำเนื้อเรื่องในพงศาวดารมาเป็นบทละคร เช่น ราชาธิราช   สามก๊ก เป็นต้น 

          ละครเสภา  เป็นศิลปะการแสดงประเภทละครำในแนวละครนอกเช่นกัน  โดยเพิ่มการขับเสภาให้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินเรื่อง  นิยมแสดงเรื่องขุนช้าง-ขุนแผน



ที่มา : http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_id=1622

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น